วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2565) เวลา 10.00 น. พลตรี ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมคณะฯ เดินทางลงตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดบริเวณบ้านพักข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองนราธิวาส เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือ ร้อยตำรวจเอก สุทธิรักษ์ พันธนิยะ รองสารวัตรปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเมืองนราธิวาส และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 37 ราย ซึ่งลักษณะการก่อเหตุของคนร้ายแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ ขับรถยนต์ที่ประกอบระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในถังแก๊สหุงต้มขนาด 15 กิโลกรัม รวมน้ำหนัก 80-100 กิโลกรัม บรรจุในรถยนต์คันก่อเหตุและขับเข้ามาพร้อมจุดชนวนตั้งเวลา 5 นาที และขณะนี้เจ้าหน้าเร่งสืบทราบหาเบาะแสจากรถยนต์ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุคันดังกล่าว อยู่ในระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขยายผลเชื่อมโยงถึงตัวคนร้ายต่อไป
โดย พลตรี ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่เก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด และหน่วยพิสูจน์หลักฐานได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เบื้องต้นทราบว่า รถยนต์คันดังกล่าวที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ เป็นรถยนต์ที่ไม่มีการแจ้งหายหรือถูกจารกรรมปล้นมาแต่อย่างใด ทำให้ลอดสายตาของการเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่ได้ เป็นช่องว่างให้คนร้ายได้ใช้ก่อเหตุ ล่าสุดทราบเบาะแสผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวแล้ว อยู่ในระหว่างการขยายผลเพื่อเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องกับคนร้ายอย่างไร สำหรับปัจจัยในการก่อเหตุ ไม่น่าจะเกิดมาจากผลของการบังคับใช้กฎหมาย เพราะพฤติกรรมของคนร้ายมีการตั้งใจเตรียมการมาอย่างดี และจุดที่คนร้ายเลือกก่อเหตุ เป็นจุดที่มุ่งหวังที่จะทำลายชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจและครอบครัวซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ และที่สำคัญจุดเกิดเหตุอยู่ตรงข้ามโรงเรียนนราสิกขาลัย ซึ่งมีเด็กนักเรียนอยู่เป็นจำนวนมาก สร้างความตื่นตระหนก และได้รับผลกระทบต่อจิตใจ รวมไปถึงเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้งไป ทั้งประเด็นทางการเมือง อุดมการณ์การของกลุ่มขบวนการ หรือแม้กระทั่งภัยแทรกซ้อนต่าง ๆ ล้วนเป็นปัจจัยที่ใช้ในการก่อเหตุทั้งสิ้น
รองแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากเกิดเหตุดังกล่าว พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งการและเน้นย้ำ 3 เรื่อง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสำรวจประเมินความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และเร่งจัดชุดเฉพาะกิจในพื้นที่เข้ามาควบคุมที่เกิดเหตุ และให้ยกระดับรักษาความปลอดภัย 100 % พร้อมทั้งเร่งติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามฝากไปยังประชาชน อยากให้จำภาพของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่คนร้ายก่อเหตุ ว่าทุกครั้งที่มีการก่อเหตุรุนแรงมักจะสร้างความเดือดร้อนทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมาโดยตลอด ฉะนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอยากให้ประชาชนเข้าใจเจ้าหน้าที่ เพราะเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นและอยากให้ประชาชนช่วยกันแจ้งเบาะแสคนร้าย ได้ทางสายด่วนกองอำนวยรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า หมายเลข 1341 หรือโทรศัพท์สายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 โทร 0611732999 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า