เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2565 เวลา 10.30 น. ณ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 42 ค่ายศรีนครินทร์ ตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช พลโท เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการกำลัง 3 ฝ่าย ทหาร ตำรวจ พลเรือน และส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงผลจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด ซึ่งมีการเชื่อมโยงกับขบวนการค้ายาข้ามชาติ นายปวิช (หรือ ปอ) ธีรสุทธิ์ ที่หลบหนีอยู่ในขณะนี้ โดยมีเครือข่ายยาบ้าบ่าวสิชลเป็นตัวกลางประสานงาน โดยสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ จำนวน 7 ราย ในพื้นที่อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) น้ำหนัก 382 กิโลกรัม และยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) จำนวน 474,000 เม็ด, อาวุธปืนสั้นขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน 4 นัด, รถยนต์ จำนวน 4 คัน และรถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน เบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภทที่ 1 (หรือไอซ์) ไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ใด้รับอนุญาต, เป็นการกระทำเพื่อการค้า, จนก่อให้เกิดการแพร่กระจายในชุมชน และเป็นการกระทำโดยหัวหน้า ผู้มีหน้าสั่งการหรือมีหน้าที่จัดการในเครือข่ายอาชญากรรม โดยมูลค่าที่จับได้ในครั้งนี้ประมาณ 114 ล้านบาท และหากส่งต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านมีมูลค่าถึง 1,140 ล้านบาท
สำหรับผลการจับกุมดังกล่าว สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมนายอรรถนพ (ต้ะ) สุขสงวน พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 30 เม็ด ในพื้นที่อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช และได้ทำการขยายผลจนสามารถจับกุมยาเสพติด ยาบ้าได้เพิ่มเติมอีกจำนวน 100,000 เม็ด ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำขณะนำยาเสพติด (ยาบ้า)ไปส่งให้ลูกค้า ประกอบกับเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 ได้จับกุมตัวนายประเสริฐ เสนา พร้อมของกลางยาเสพติด (ไอซ์) จำนวน 300 กิโลกรัม ที่ บริเวณด่านตรวจความมั่นคงควนมีด อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ขณะลำเลียงลงสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันขยายผลต่อเนื่องจนทราบว่าขบวนการค้ายาบ้าและยาไอซ์ดังกล่าวเป็นเครือข่ายของนายพรชัย ยอดอินทร์ (บ่าวสิชล) ซึ่งเป็นขบวนการค้ายาข้ามชาติ ซึ่งนายพรชัย (บ่าวสิชล) จะมีหน้าที่ลำเลียงยาลงสู่พื่นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อส่งต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน มีนายปวิช (ปอ) ธีรสุทธิ์ เป็นผู้สั่งการ และได้สืบสวนจนทราบว่ามีการนำยามาเก็บไว้ในพื้นที่อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี กระทั่งเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 เจ้าหน้าที่ได้ล่อซื้อยาบ้าจากนายเทพศักดิ์ นนทฤทธิ์ (ชาย) จำนวน 6,000 เม็ด จึงได้ทำการจับกุม และขยายผลตรวจค้นบ้านเช่าของนายเทพศักดิ์ฯ ณ บ้านเลขที่ 183/1 ตำบลอิปัน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ยาบ้า 48,000 เม็ด สรุปรวม 54,000 เม็ด และในวันที่ 7 พฤษภาคม 2565 ได้ขยายผลจับกุม นายเกียรติพงษ์ ปานรินทร์ (ใหม่) และนายชุติพันธ์ โกรนิ (ฉุย) พร้อมของกลางยาบ้า 280,000 เม็ด พร้อมรถยนต์ 1 คันที่จะลานจอดรถในปั๊มอำเภอท่าศาลา ขณะนำยาบ้ามาส่งให้ลูกค้า จากการขยายผลทั้งสองได้รับยาบ้ามาจากนายพรชัย (บ่าวสิชล) จึงได้ไปจับกุมนายพรชัย(บ่าวสิชล) และนายอวยชัย (เอ็ม) พร้อมของกลางยาบ้าอีกจำนวน 14,000 เม็ด ไอซ์ 2 กิโลกรัม พร้อมอาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก และรถยนต์ 2 คัน จับกุมได้ที่ พร้อมใจรีโซเทลรีสอร์ท อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช จากการสอบสวนนายพรชัยให้การว่า รับคำสั่งจากนายปวิช (ปอ) ซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ให้ตนเองขนยาไอซ์จำนวน 380 กิโลกรัม โดยว่าจ้าง 1,000,000 บาท มีนางสาวจิตรวดี (ฝน) เป็นผู้ควบคุมการขนส่ง และต่อมาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2565 เจ้าหน้าที่จับกุมนางสาวจิตรวดี (ฝน) มาสอบสวนปรากฏว่านายปวิช (ปอ) ได้ติดต่อมาว่ายาเสพติด (ไอซ์) จำนวน 10 กระสอบหนักประมาณ 380 กิโลกรัมได้ถึงที่หมายแล้ว แต่ไม่สามารถติดต่อนายพรชัย (บ่าวสิชล) ได้ จึงสั่งให้นางสาวจิตรวดี(ฝน) มารับยาไอที่บริเวณศาลาริมถนนสายเอเชีย ขาล่องใต้หมู่ที่ 5 ตำบลสามตำบล อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อนำไปส่งให้ลูกค้าที่เกาะสะท้อน อำเภอตากใบ จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อทดแทนที่นายประเสริฐ เสนา ซึ่งถูกจับกุมที่ด่านควนมีดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 และต่อมาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2565 เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนางสาวจิตรวดี (ฝน) ไปยังที่นัดหมาย ต่อมาสามารถจับตัวนายซอบบือรี (ยี) ที่โรงแรมเอเชีย ตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และรับสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างจากนายบังไม่ทราบนามสกุล ให้มารับยาชุดดังกล่าว โดยได้ค่าจ้าง 1,000,000 บาท และนำไปส่งให้ลูกค้าที่ตำบลเกาะสะท้อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เพื่อส่งต่อยังประเทศเพื่อนบ้านต่อไป
สำหรับการจับกุมในครั้งนี้ถือว่าเป็นการทลายเครือข่ายของการค้ายาเสพติดได้เกือบทั้งเครือข่าย โดยมูลค่าที่จับได้ในครั้งนี้ประมาณ 114,000,000 บาท และหากส่งต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านจะมีมูลค่าอีกเป็น 10 เท่า หรือประมาณ 1,140,000,000 บาท ในส่วนของผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดทั้งหมดเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจะได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการทางกฎหมาย สำหรับทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องจากการกระทำความผิดอยู่ในระหว่างการตรวจสอบเพื่อทำการตรวจยึดและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า